วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รัวอาก้าถล่ม"ดับ"นายกเทศบาลตำบลท่าช้างคล้อง อำเภอผาขาว จังหวัดเลย

รัวอาก้าถล่ม ดับ'นายกเล็ก''ท่าช้างคล้อง'เมืองเลย มุ่งปมการเมืองท้องถิ่น


ฆ่านายกเล็ก - คนร้ายใช้ปืนอาก้ายิงถล่มนายยุทธศิลป์ ป้านภูมิ นายกเทศมนตรีเทศบาล ต.ท่าช้างคล้อง อ.ผาขาว จ.เลย ขณะจอดรถหน้าบ้านแม่ยาย ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปเสียชีวิตที่ร.พ.ผาขาว คาดสาเหตุขัดแย้งการเมืองท้องถิ่น เมื่อ 10 พ.ย.
มือปืนพระกาฬรัวอาก้าถล่มนายกเทศ มนตรีเทศบาลตำบลท่าช้างคล้อง จ.เลย ร่างพรุนตายสยองคารถกระบะ ขณะขับเข้าบ้านพัก เผยซุ่มรอเหยื่อกลางดึกพอเหยื่อจอดรถให้เมียลงไปเปิดประตู บุกกราดยิงระยะเผาขนสิ้นใจตายอนาถ ตร.มุ่งปมการเมืองท้องถิ่น เพราะเคยร้องเรียนกกต. ว่ามีการทุจริตเลือกตั้ง จนได้นั่งเก้าอี้นายกฯ ในภายหลัง สั่งล่าตัวคนร้ายทันควัน

เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 10 พ.ย. พ.ต.ท.จงรักษ์ นามอั้ง สารวัตรเวร สภ.ผาขาว จ.เลย รับแจ้งจากร.พ.ผาขาว ว่า มีคนถูกยิงมาเสียชีวิตที่ร.พ. จึงรายงานพ.ต.อ.สราวุธ ศรีชัย ผกก. พ.ต.ท.วิโรจน์ ตระกูลวงษ์ รอง ผกก.สส. รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงพบศพนายยุทธศิลป์ ป้านภูมิ อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 244 หมู่ 3 บ้านพวยเด้ง ต.ท่าช้างคล้อง อ.ผาขาว นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลท่าช้างคล้อง และเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในอำเภอผาขาว ถูกยิงด้วยปืนอาก้าเข้าที่สีข้าง 1 นัด เอว 1 นัด และที่โคนขา 1 นัด เสียชีวิตอยู่ในห้องผ่าตัด จึงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ขณะที่กำลังตำรวจอีกส่วนหนึ่งรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ หน้าบ้านเลขที่ 35 หมู่ 12 บ้านพวยเด้ง ต.ท่าช้างคล้อง เพื่อสอบปากคำพยาน

เมื่อไปถึงพบรถกระบะโตโยต้า ไฮลักซ์ สีน้ำเงิน ทะเบียน บธ 1975 เลย ของผู้ตาย จอดอยู่ในสภาพประตูด้านขวามีรอยกระสุนพรุนไปหมด ที่พื้นพบปลอกกระสุนปืนอาก้าตกอยู่ 16 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบสวนทราบว่า เมื่อกลางดึกวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา นายยุทธศิลป์ พร้อมนางณัชชา ป้านภูมิ ภรรยา ซึ่งทำงานเป็นพยาบาลอยู่ที่ร.พ.ผาขาว เดินทางไปร่วมเปิดงานลอยกระทงที่หน้าที่ว่าการอำเภอผาขาว หลังจากนั้นจึงพากันเดินทางกลับมาที่บ้านหลังดังกล่าว ซึ่งเป็นบ้านแม่ยายของนายยุทธศิลป์ ขณะที่นายยุทธศิลป์ จอดรถหน้าบ้านให้ภรรยาลงไปเปิดประตูรั้ว ปรากฏว่ามีคนร้ายไม่ทราบจำนวนซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ กรูเข้ามาใช้อาวุธปืนอาก้ากราดยิงใส่ทันที ก่อนที่คนร้ายจะอาศัยความมืดหลบหนีไป ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานสาเหตุเกิดจากการเมืองท้องถิ่น โดยก่อนหน้านี้นายยุทธศิลป์ เคยดำรงตำแหน่งนายกอบต.ท่าช้างคล้องมา 1 สมัย เมื่อยุบอบต. ยกฐานะขึ้นเป็นเทศบาลตำบล มีการเลือกตั้งใหม่ ปรากฏว่านายยุทธศิลป์ แพ้การเลือกตั้ง จึงเข้าร้องเรียนกับทางกกต.ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น กระทั่งมีการเลือกตั้งใหม่ในปลายปีཱ ทำให้นายยุทธศิลป์ ได้กลับเข้ามาครองตำแหน่งอีกครั้ง กระทั่งมาถูกลอบสังหารจนได้ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตั้งข้อสังเกตว่าคนร้ายเป็นมืออาชีพ ทำงานเป็นทีมและมีความชำนาญในการใช้อาวุธเป็นอย่างดี ซึ่งจะได้สอบสวนขยายผลติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป

หน้า 1


วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คู่มือการจัดรายการโปรแกรม sam broadcaster

2. ให้เลือกไปที่ Desktop B เพื่อตั้งค่าการเชื่อมต่อ

3. คลิกที่เครื่องหมาย + (บวก) เพื่อเพิ่มการเชื่อมต่อ

4. เลือกชนิดการเชื่อมต่อ (ในที่นี้เลือก mp3PRO)

5. ที่ Tab Conventer ให้ตั้งค่า Quality (คุณภาพเสียง) และ Format (ความถี่ในการส่งสัญญาณ) ตามต้องการ
หมายเ หตุ สำหรับดีเจบ้านมหา ให้เลือกที่ 32 kb/s เนื่องจากระบบรับได้แค่ 32

6. คลิกไปที่ Tab Server Details ให้ตั้งค่าตามนี้
6.1 เลือกชนิดเป็น ShoutCast
6.2 Server IP ให้ระบุ IP ที่ได้รับทางอีเมลตอนสมัครใช้งาน
6.3 Server Port ให้ระบุ Port ที่ได้รับทางอีเมลตอนสมัครใช้งาน
6.4 Password ให้ระบุ Password ที่ได้รับทางอีเมลตอนสมัครใช้งาน
6.5 ในส่วนทางขวา (Station Details) สามารถตั้งได้ตามต้องการ
หลังจากการตั้งค่าเสร็จเรียบร้อย ให้คลิก OK ได้เลย

7. เมื่อท่านมาดูในช่องของ Encoders จะพบว่ามีรายการขึ้นมา 1 รายการ คือรายการที่เราได้ตั้งไปเมื่อซักครู่นี้

8. ให้คลิกเลือกรายการดังกล่าว และกดเครื่องหมาย > (Play) เพื่อทำการเชื่อมต่อสัญญาณไปยัง server ของ ThaiRadioService.com

9. เมื่อมีการเชื่อมต่อสำเร็จ ท่านสามารถเปิดเพลงเพื่อ ออกอากาศ ได้เลย….

ดาวน์โหลดโปรแกรมสำหรับใช้เป็นเซิร์ฟเวอร์เรดิโอ กรณีใช้เครื่องตัวเองทดลองจัดรายการ โดยที่ไม่ต้องการเช่า Port Radio

Download SHOUTcast Broadcaster Tools

หมายเ หตุ สำหรับดีเจบ้านมหา ให้เลือกที่ 32 kb/s เนื่องจากระบบรับได้แค่ 32
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thairadioservice.com/manual-sam.php

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

10 คนรวยที่สุดในโลก ปี 2554

10 คนรวยที่สุดในโลก ปี 2554
1. คาร์ลอส สลิม เฮลู และครอบครัว

เจ้าของธุรกิจโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของบราซิล มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 7.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท)

2. บิล เกตส์ หรือ วิลเลี่ยม แฮร์รี่ "บิล" เกตส์ ที่ 3


เจ้าของบริษัทไมโครซอฟต์ บริษัทผลิตซอฟต์แวร์ชื่อดังของโลก มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท)

3. วอร์เรน บัฟเฟต์

ซีอีโอและผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของบริษัทเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ บริษัททางด้านการลงทุนอันดับต้น ๆ ของอเมริกา มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท)

4. เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์

ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริษัท LVMH ชาวฝรั่งเศส ผู้ผลิตสินค้าแบรนด์หรูระดับโลกอย่าง หลุยส์ วิตตอง, ดิออร์, เฟนดิ, จีวองชี่, เคนโซ่, มาร์ค จาค็อบ, บุลการี่ และยังมีธุรกิจผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกหลายแบรนด์ ที่เป็นที่รู้จักในบ้านเรา เช่น เฮนเนสซี่ มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท)

5. แลร์รี่ เอลลิสัน หรือ ลอว์เรนซ์ โจเซฟ เอลลิสัน

ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทออร์ราเคิล คอร์เปอเรชั่น ผู้จัดจำหน่ายซอฟต์แวร์ระดับโลกอีกรายหนึ่ง มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 3.95 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1.198 ล้านล้านบาท)

6. ลักษมี มิทตาล

มหาเศรษฐีชาวอินเดีย เจ้าของธุรกิจเหล็กยักษ์ใหญ่ในอินเดีย มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 3.11 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 9.43 แสนล้านบาท)

7. อามันซิโอ ออร์เตก้า

เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดัง "ซาร่า" ชาวสเปน มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 3.10 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 9.4 แสนล้านบาท)

8. ไอค์ บาติสต้า

นักธุรกิจชาวบราซิล เจ้าของธุรกิจเหมืองแร่และน้ำมัน มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 9.09 แสนล้านบาท)

9. มูเกช อัมบานี

เจ้าของธุรกิจปิโตรเคมีและน้่ำมันชาวอินเดีย มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 8.18 แสนล้านบาท)

10. คริสตี้ วอลตัน และครอบครัว

หนึ่งในผู้บริหารและผู้ถือหุ้นของวอลมาร์ท มินิมาร์ทชื่อดังของอเมริกา เป็นลูกสะใภ้คนเก่งของ แซม วอลตัน ผู้ก่อตั้ง วอลมาร์ท มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 2.65 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 8.03 แสนล้านบาท) 


10 อันดับกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

10 อันดับกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
สุดยอด 10 อันดับกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ปี 2554 โดยนิตยสารฟอร์บ


นิตยสารฟอร์บ เสนอบทความกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก
ฟอร์บระบุว่า การประเมินทรัพย์สินของราชวงศ์นั้น
ต้องใช้ทั้ง ศาสตร์และศิลป์ประกอบกันไป
เนื่องด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างความมั่งคั่งของบุคคล
กับรัฐนั้นมีลักษณะเฉพาะของแตกต่างกันไป
จากรายงาน ของฟอร์บส์นั้น พบว่าพระมหากษัตริย์หลายพระองค์
มีพระราชทรัพย์ลดลง เนื่องจากผลกระทบที่ต่างๆ กันไป
ฟอร์บระบุว่า ได้ติดตามสถานะของราชวงศ์ระดับแนวหน้า
จำนวนหนึ่งมาหลายปี แต่การนำเสนอผ่าน
บทความดังกล่าวเป็นเพียงครั้งที่ 2
ที่เผยแพร่ทำเนียบกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดอย่างละเอียด
แต่สถาบัน กษัตริย์ของประเทศอย่างสเปน
และญี่ปุ่นกลับพลาดที่จะเข้าร่วมการจัดอันดับไปอย่างน่าเสียดาย


ลำดับที่ 10. Sultan Qaboos bin said of Oman


มีพระราชทรัพย์สุทธิ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
สุลต่านกาบุส ทรงขึ้นครองราชเมื่อปี1970
หลังสิ้นสุดอำนาจของผู้เป็นพ่อ
สุลต่านกาบุสได้ ทรัพย์สินจากการส่งออกน้ำมัน
ปัจจุบันพระองค์ได้หันมาทำธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ลำดับที่ 9. Princes Albert II of Monaco


เจ้าชายอัลเบิร์ตที่ 2 แห่งโมนาโก เป็นกษัตริย์พระองค์เดียว
ที่ยังไม่อภิเษกสมรส และถูกร่ำลือว่าทรงส่งแฟนสาว
ของพระองค์เข้าเรียน คอร์สติวเข้มภาษาฝรั่งเศส
พระองค์มีพระราชทรัพย์ประมาณ 1.4 พันล้านเหรียญฯ
ประกอบไปด้วยอสังหาริมทรัพย์
และหุ้นส่วนกิจการ คาสิโนในโมนาโก
พร้อมทั้งทรงวางแผนที่จะขยายพื้นที่ของประเทศ
(ซึ่งมีขนาดเท่ากับ Central Park ในนิวยอร์ก)
โดยการสร้างเขต ปกครองใหม่ในทะเล
ซึ่งจะตั้งอยู่บนเสาขนาดมหึมา โครงการดังกล่าวนี้
สร้างความวิตกกังวลแก่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่พอสมควร

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ลำดับที่ 8. King Mohammed VI of Morocco


กษัตริย์โมฮัมหมัดที่ 6 แห่งประเทศโมร็อกโก
ขณะนี้มีทรัพย์สินรวม 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
ลดลงจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 2 พันล้านเหรียญฯ
เนื่องจากภัยแล้งที่รุนแรงส่งผลให้อัตราการเติบโต
ทางเศรษฐกิจของประเทศชะลออยู่ที่ระดับ 2 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งได้มาจากการทำเหมืองแร่ฟอสเฟต, เกษตรกรรม
และทรงร่วมหุ้นกับบริษัท
Morocco's largest public company, ONA.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ลำดับที่ 7. Sheikh Hamad bin Khalifa Al Thani of Qatar


ชีค ฮาหมัด บิน คาลิฟา อัล ธานี่
มีทรัพย์สินโดยประมาณรวม 3พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ลำดับที่ 6. Prince Hans-Adam II von und zu Liechtenstein of Liechtenstein


เจ้าชายฮันส์ อาดัมที่ 2 แห่งลิกเตนสไตน์
มีพระราชทรัพย์ทรัพย์ประมาณการ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
โดยที่ LGT Bank ซึ่งเป็นแหล่งทุนหลักของพระองค์
(บริหารโดยราชวงศ์มากว่า 70 ปี)
ตกเป็นเป้าในคดีหลีกเลี่ยงภาษีอันอื้อฉาว
ซึ่งบริษัทของพระองค์ถูกกล่าวหาว่า
ช่วยเหลือลูกค้าฐานะดีหลายรายในการ “ซุกซ่อน” ทรัพย์สิน
จากการสืบสวนของวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ พบว่า
พระอนุชาของพระองค์ (เจ้าชายฟิลิป) มีส่วนเกี่ยวข้อง
ในการนี้ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งประธานของ LGT


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ลำดับที่ 5. Sheikh Mohammed bin Rashid Al Maktoum of Dubai


ชีค โมฮัมหมัด บิน ราชิด อัล มาคทูม แห่งดูไบ
ทรงมีพระราชทรัพย์สุทธิ 18 พันล้านเหรียญฯ
เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Dubai Holding
ซึ่งมีการลงทุนใหญ่ๆ ในหลายบริษัท เช่น โซนี่
และบริษัทผลิตอาวุธ EADS และเมื่อเร็วๆ นี้
กองทุนรวมเพื่อการลงทุนของชีคพระองค์นี้
ได้ใช้เงิน 5 พันล้านเหรียญฯ เพื่อถือหุ้น
ในบริษัท MGM Mirage และ 825 ล้านเหรียญฯ
เพื่อซื้อกิจการค้าปลีก Barneys New York
และทรง เข้ามาซื้อหุ้นใหญ่สุดของสโมสรในอังกฤษอีกด้วย

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ลำดับที่ 4. Sultan Haji Hassanal Bolkiah of Brunei



สุลต่านแห่งบรูไน ซึ่งเป็นกษัตริย์จากเอเชียจากสองประเทศ
ที่เข้าทำเนียบราชวงศ์ที่รำรวยของฟอร์บ
ราชทรัพย์ของสุลต่านแห่งบรูไน (ทรัพย์สิน 20 พันล้านเหรียญฯ)
ลดลงจากปีที่ผ่านมาเนื่องจากต้องลดอัตราการผลิตน้ำมัน
เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันในประเทศบรูไนลดลง
โดยฟอร์บระบุว่า กิจการน้ำมันนั้นเป็นมรดกตกทอด
ของราชวงศ์บรูไนซึ่งเป็นราชวงศ์มุสลิมซึ่งมีอายุกว่า 600 ปี

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



ลำดับที่ 3. King Abdullah bin Abdul Aziz of Saudi Arabia



กษัตริย์อับดุลลาห์ บิน อับดุล อาซิซ แห่งซาอุฯ
ทรงมีทรัพย์สินประมาณการที่ 21.5 พันล้านเหรียญฯ
รายได้มหาศาลของพระองค์ได้มาจากอุตสาหกรรมน้ำมัน
ที่ซาอุดีอาระเบีย มี*ส่วนการผลิตถึง 25 % ของแหล่งน้ำมัน
ทั่วโลก และธุรกิจการบินของสายการบินซาอุดี อาระเบียนส์
แอร์ไลน์ แต่อย่างไรก็ตามมีการคาดการณ์กันว่า
แหล่งน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย จะหมดลงในปีค.ศ.2040
หรืออีกใน 32 ปี ข้างหน้านี้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ลำดับที่ 2. Sheikh Khalifa bin Zayed Al Nahyan of the United Arab Emirates


ชีค คาลิฟา บิน ซาเ ยด อัล นาห์ยาน แห่งอาบูดาบี
(สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) มีพระราชทรัพย์ประมาณ
23 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ ความมั่งคั่งของพระองค์
เกิดจากการที่เมืองอาบูดาบี เป็นเมืองที่มีแหล่งน้ำมัน
สำรองคิดเป็น 95 เปอร์เซ็นต์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
นอกจากนั้น อาบูดาบียังมีชื่อเสียง เนื่องมาจากการลงทุน
ระดับแนวหน้าโดยบรรษัทที่รัฐเป็นเจ้าของนั่นคือ
เงินลงทุน 7.5 พันล้านเหรียญฯ ในบริษัท Citibank

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ลำดับที่ 1. King Bhumibol Adulyadej of Thailand


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
แห่งราชอาณาจักรไทย ทรงอยู่ในลำดับสูงสุด
ของทำเนียบราชวงศ์ที่รวยที่สุดในโลกในปีนี้
โดยมีพระราชทรัพย์ประมาณการได้ล่าสุดกว่า 35 พันล้าน
เหรียญฯ (1.19 ล้านล้านบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยน
1 บาท: 34 ดอลลาร์)
โดย พระราชทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นนี้สืบเนื่องจากความโปร่งใส
ที่เพิ่มขึ้นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั่นเอง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ราชวงศ์ที่รวยที่สุดในโลก 2011 , กษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก , กษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก 2011 , กษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก 2554 , กษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก ปี 54
ที่มา www.have.in.th

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทางสองแพร่งนิติรัฐ



ผมไม่ได้ไปฟัง อ.วรเจตน์และนิติราษฎร์เมื่อวันอาทิตย์ เพราะเดาไว้แล้วว่าประชาธิปัตย์ไม่กล้าไป พออภิสิทธิ์ถอยฉาก ถูกเย้ยหยันนินทา ถาวรก็ออกมาแก้เกี้ยว อ้างว่าวรเจตน์ไม่มีราคา

โห ไม่มีราคาแล้วพวกท่านจะสะดุ้งกันขนาดนี้หรือ ออกมาเต้นตั้งแต่หัวหน้าพรรคยันหางแถว วันก่อนผมเห็นข่าวแล้วหัวร่อกลิ้ง สกลธี ภัททิยกุล รองโฆษก ปชป.หาว่านิติราษฎร์เล่นปาหี่ทางการเมือง ไปถามบิดาคุณดูสิ ปาหี่จริงเป่า? ถ้าไม่สะดุ้ง 18 ตลบ ทำไมต้องออกมาเต้นตั้งแต่ลูก คมช.ยัน ผบ.ทบ.

สื่อโง่หรือสื่อแกล้งโง่

เท่าที่ทราบ นอกจาก ปชป.ไม่ไปแล้ว สื่อตัวดียังไม่ส่งคนไปซักถาม ว่ามีข้อข้องใจตรงไหนกับข้อเสนอของนิติราษฎร์ ทำยังกะเข้าใจหมดแล้ว แต่ความจริงเปล่า เอ๊ะ หรือว่าเข้าใจแต่แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ

สื่อโง่ หรือสื่อแกล้งโง่ ต่อข้อเสนอของนิติราษฎร์ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติควรตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาสอบสวนสักชุด (เผื่อจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ว่าโง่จริงๆนะ ไม่ได้แกล้งโง่-ฮา)

คำวิจารณ์ของสื่อไม่เป็นธรรมต่อนิติราษฎร์ ผมกล้าพูดเช่นนั้น แน่นอน เราต้องขีดเส้นแบ่งว่าสื่อมีเสรีภาพที่จะวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก่อนวิจารณ์คุณต้องเสนอข่าวคำแถลงนิติราษฎร์ให้ครบถ้วนทุกประเด็น ตีความ ทำการบ้าน แยกแยะให้ชัดเจนว่ามีสาระอย่างไรบ้าง แล้วค่อยบอกว่าเห็นด้วยไม่เห็นด้วย หรือจะด่าว่ากันอย่างไรก็ตามแต่

นี่คือจรรยาบรรณสื่อ ไม่ว่าคุณจะวิจารณ์ใคร คุณต้องทำการบ้าน ทำความเข้าใจความคิดเห็น ประวัติความเป็นมาของเขา ไม่ใช่ด่าเอามัน เอาใจคนอ่าน หรือเอาตามกระแส

แต่นี่เปล่าเลย เวลาเสนอข่าว สื่อส่วนใหญ่เสนอแต่ ล้างผิดทักษิณ แล้วพวกคอลัมนิดคอลัมหน่อย ก็อ่านจากข่าวเอาไปวิจารณ์ ไม่ได้อ่านรายละเอียด ไม่ทำความเข้าใจ หรือเข้าใจแล้วแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ

สื่อเสนอข่าวแล้วจะเอาประเด็นคดีทักษิณมาพาดหัวด่า ต่อต้านคัดค้าน ก็ไม่เป็นไร แต่เนื้อข่าวต้องเสนอให้ครบถ้วน ชัดเจน ว่านิติราษฎร์เสนอลบล้างผลพวงรัฐประหาร โดยลบล้างประกาศ คปค. ซึ่งโบร่ำโบราณมา ศาลฎีกาถือเป็นกฎหมาย แต่นิติราษฎร์ให้เสียเปล่า ไม่ถือเป็นกฎหมาย จึงต้องลบล้างคำพิพากษาและคำวินิจฉัยของศาลทุกศาล ที่เอาประกาศ คปค.ไปใช้ รวมทั้งเสนอให้ลบล้างการนิรโทษกรรมตัวเองของคณะรัฐประหาร ซึ่งก็คือลบล้างมาตรา 36-37 ของรัฐธรรมนูญ 2549

เฮ้ย แค่นี้เอง ทำไมไม่เขียนให้เป็นระบบครบประเด็น หรืออย่างน้อยถ้าไม่มีสติปัญญาตีความ ก็เอาคำแถลงนิติราษฎร์ลงโดยละเอียด ในเนื้อข่าว หรือในหน้า 2 หน้า 3 ให้ผู้มีสติปัญญาเขาอ่านเอง

แต่เปล่าเลย สื่อสรุปเฉพาะบางประเด็นที่ตัวเองจะเอามาใช้ แล้วตัดส่วนอื่นทิ้งหมด สังเกตง่ายๆ ไม่มีสื่อซักฉบับจับประเด็นลบล้างนิรโทษกรรม คปค.ทั้งที่ถ้าเปิดอินเตอร์เน็ต ดูรัฐธรรมนูญ 2549 ก็จะรู้ว่ามาตรา 37 คือการนิรโทษกรรมให้ คปค.ย้อนหลัง

หัวหน้าข่าว บรรณาธิการข่าว ไม่ทำการบ้านเลยหรือไง อย่างที่นิติราษฎ์บอกว่าให้การกระทำของ คปค.ที่มุ่งผลทางกฎหมายระหว่างวันที่ 19-30 ก.ย.เสียเปล่า ก็เหมือนกัน มันแปลว่าให้ประกาศ คปค.30 ฉบับเสียเปล่า ไม่มีผลทางกฎหมาย ส่วนที่เหลือก็บอกว่าให้มาตรา 36,37 ของรัฐธรรมนูญ 2549 เสียเปล่า ไม่มีผลทางกฎหมาย ชัดเจนอยู่แล้วว่าขีดเส้นแค่นั้น ไม่ได้บอกให้รัฐธรรมนูญ 2549 หรือรัฐธรรมนูญ 2550 เสียเปล่าทั้งฉบับ

แต่ไอ้พวกไม่ทำการบ้าน กลับมาตั้งคำถามไร้สาระ เช่น ลบล้างรัฐประหารให้ทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ หรือ ลบล้างรัฐธรรมนูญ 49,50 เท่ากับลบล้างการเลือกตั้ง 50,54 ที่พรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยชนะ อย่างนั้นหรือ

โห นักวิชาการที่เขาเรียนจบดอกเตอร์จากเยอรมัน ฝรั่งเศส เขาไม่งี่เง่าเท่าสมองคอลัมนิสต์หรอกครับ

แทนที่จะตั้งประเด็นประเทืองปัญญา สื่อกลับพาเข้ารกเข้าพงไปโน่น ทั้งที่ถ้าใช้หมองหน่อย สื่อก็ต้องเปิดเน็ตดูประกาศ คปค.30 ฉบับ แล้วมาซักถามนิติราษฎร์ว่า ถ้าลบล้างแล้วจะมีผลอย่างไร เอ้า ยกตัวอย่าง ประกาศ คปค.ตั้ง กกต.และ ปปช.ถ้าลบล้างแล้วจะมีผลอย่างไร ประเด็นนี้ นิติราษฎร์ก็ยังไม่ได้อธิบาย คุณโต้แย้งมาสิ จะได้เป็นการพัฒนาสติปัญญาของสังคม

แต่เปล่าเลย สื่อสรุปแค่ประเด็น ล้างผิดทักษิณ แล้วก็อมขี้ฟันฝ่ายค้านว่านิติราษฎร์รับงาน รับจ็อบ บ้างก็ตั้งข้อสงสัยว่าอยากเข้าไปเป็น คอ.นธ.กับอุกฤษ มงคลนาวิน

เฮ้ย ไอ้การเป็น คอ.นธ.นี่มันได้เงินเดือนเดือนละกี่แสน มันมีผลประโยชน์อะไรนักหนา ถึงต้องอยากเป็น

แต่อย่าแปลกใจเลย นี่คือนิสัยสื่อ ที่มองทุกคนมีเบื้องหลัง ยกเว้นตัวกรูและพวกกรู

อย่างไรก็ดี ถ้าสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติมอบหมายให้ผมเป็นอนุกรรมการสอบสื่อ ผมก็พร้อมจะสรุปผลสอบอย่างให้ความเป็นธรรม ว่านักข่าว หัวหน้าข่าว คอลัมนิสต์ ส่วนใหญ่ไม่มีผลประโยชน์เบื้องหน้าเบื้องหลังหรอก มีน้อยคนที่แกล้งโง่ ส่วนใหญ่แล้วโง่จริงๆ ต่างหาก

ไม่ฮานะครับ นี่เป็นปัญหาใหญ่ของวงการสื่อไทย คือโง่แล้วยังอหังการ คิดว่าตัวกูคือผู้ตัดสินความถูกต้องเป็นธรรม อหังการแล้วยังดันทุรัง ยึดเอาสุคติอคติของตัวเป็นใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเชื่อว่าตัวกูไม่ได้รับเงินใครมา ฉะนั้นกูต้องถูกแท้แน่นอน

สื่อไทยส่วนใหญ่ทำงานอย่างฉาบฉวย โหนกระแส ไม่ทำการบ้าน มาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ ไม่ใช่เพิ่งเป็นในยุคไล่ทักษิณ สื่อชอบหากินกับข่าวปิงปอง ด่ากันไปด่ากันมา หรือกล่าวหาเรื่องทุจริต ซึ่งอันที่จริงเมื่อมีข้อหาทุจริต สื่อควรทำข่าวสืบสวนสอบสวน เปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนชั่งน้ำหนัก แต่เปล่าเลย วิธีการทำงานของสื่อทั่วไปก็แค่เอาคำพูดฝ่ายค้านที รัฐบาลที มาตีข่าว ซึ่งแน่นอนละว่าถ้าฝ่ายค้านเป็นพวกเจ้าคารี้สีคารมอย่าง ปชป.ก็ได้เปรียบตั้งแต่ในมุ้ง

ปัญหาของสังคมไทยในยุคสมัยขาข้างหนึ่งยังถูกน้ำท่วมไร่นา แต่ขาอีกข้างผูกกับเศรษฐกิจทุนนิยมโลกาภิวัตน์ หุ้นตกเพราะมาตรการของเฟด มันไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำข่าวอย่างฉาบฉวย มักง่าย (แต่ยังคิดว่าตัวเองมีอุดมการณ์) นักข่าวการเมืองไม่ศึกษาเศรษฐศาสตร์ ไม่รู้เรื่องตลาดหุ้น จนวันนี้บางคนก็ยังดักดานเชื่อว่าทักษิณถือหุ้นใหญ่หรือถือหุ้นจำนวนมากใน ปตท.ทั้งที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย (เออ ถ้ามีนอมินีแอบถือหุ้นซัก 2-3% ยังพอเชื่อ แต่มันก็ไม่มากพอที่จะดำเนินนโยบายผลประโยชน์ทับซ้อน)

สื่อเล่นข่าวป่าทับลาน “นายทุนรุกป่าๆๆๆๆ” มันง่ายดีนะ ทำข่าวให้เป็นดรามา ป่าไม้เป็นพระเอก นายทุนเป็นผู้ร้าย ทั้งที่ความจริงไม่ใช่นายทุนใหญ่ที่ไหน ก็พวกคนชั้นกลางชาวกรุงนี่แหละ แต่อาจจะคนชั้นกลางชั้นบนหน่อย

ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ผมเชียร์นายทุน แต่ปัญหาป่าไม้ที่ดินเป็นเรื่องซับซ้อน ยุ่งเหยิง หมักหมมมานาน ถ้าจะแก้คุณต้องแก้ทั้งระบบ เรื่อง สปก.สทก.ภบท.พอเอาจริงขึ้นมา ก็กวาดจับรื้อถอน แต่พอเจ้าหน้าที่หย่อนยาน มันก็ซื้อขายกัน จนเดี๋ยวนี้เรื่องที่คนกรุงคนชั้นกลางไปซื้อที่ สปก.ในต่างจังหวัด เป็นเรื่องธรรมดาเหมือนขับรถฝ่าไฟแดง

แต่ถ้าเกิดไอ้คนซื้อที่ สปก.เป็นนักการเมือง ฉิบหายแน่ สื่อรุมยิ่งกว่าแร้งลง เลว ชั่ว โกง ฮุบป่า ฆ่ามัน!

ฉะนั้นเมื่ออนุมานจากสื่อที่ผมรู้จัก ก็เชื่อได้ว่า สื่อที่อ่านคำแถลงนิติราษฎร์แล้วเข้าใจประเด็นได้ครบถ้วนสมบูรณ์ น่าจะมีไม่ถึง 10% ที่เป็นพวกแกล้งโง่ ส่วนที่เหลือก็เป็นพวกเฮโลสาระพา ไม่ด่าทักษิณเดี๋ยวเขาว่ากรูรับตังค์ไอ้วิม


Video : รายการ HOT TOPIC 26 ก.ย. 2554 "ลบล้างรัฐประหาร-เจตนารมย์ ที่แท้กลุ่มนิติราษฎร์"

อยากให้ใครขึ้นศาล

พิภพ ธงไชย “พี่เปี๊ยก” ของผม ไปพูดในรายการ ASTV มีหลายคนขัดหูเอามาโพสต์ด่ากันตรึมในเฟซบุค เริ่มตั้งแต่ที่พูดว่านิติราษฎร์เป็นนักวิชาการไม่กี่คน ไปแถลงที่คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ไม่ยุติธรรมเพราะภาพออกมาว่านิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์เห็นด้วยกับข้อเสนอของกลุ่ม ถ้าจะแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ไม่ควรแถลงที่ธรรมศาสตร์

เลอะตั้งแต่ประเด็นแรกแล้วครับ ธรรมศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยที่มีเสรีภาพทางวิชาการ นักศึกษา คณาจารย์ จะแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ได้ ไม่ผูกพันกับมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำแถลงลงชื่อแซ่ชัดเจนว่ามีใครบ้าง สาเหตุหนึ่งที่ อ.วรเจตน์ตั้งกลุ่มนิติราษฎร์ก็เพราะอย่างนี้ เพราะเมื่อก่อนเวลาแถลงอะไร สื่อมักเอาไปพาดหัวว่า นิติ มธ.ก็เลยตั้งกลุ่มเสียให้ชัดเจนว่า นี่เป็น อ.นิติ มธ.ส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด ซึ่งเขาก็มีเสรีภาพที่จะแถลงในคณะ เช่นเดียวกัน ถ้าจะมีกลุ่ม “นิติอำมาตย์” รวบรวมกันซัก 10-20 คนมาแถลงโต้นิติราษฎร์ ก็เป็นเสรีภาพทางวิชาการ

เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นมรดกประชาธิปไตยของธรรมศาสตร์ ซึ่งสืบทอดมาจาก อ.ปรีดี ผู้ประศาสน์การ ธรรมศาสตร์ไม่ห้ามว่าคุณจะเข้าชื่อกันไล่นายกฯคนไหน คุณไล่ทักษิณได้ อีกฝ่ายก็ไล่รัฐประหารได้ อย่างน้อยก็ไม่น่าเกลียดเท่าการเอาตำแหน่งในมหาวิทยาลัยไปรับใช้รัฐประหาร

พี่เปี๊ยกตำหนิว่า ข้อเสนอของนิติราษฎร์ตื้น แคบ อคติ ขาดความฉลาดและลุ่มลึก ขัดแย้งกันในตัว เริ่มต้นการมองปัญหาก็มองผิด ที่ว่ารัฐประหารเป็นการทำลายนิติรัฐ ขอถามอาจารย์วรเจตน์ว่าลืมไปแล้วหรือว่าต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริงมาจากคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญในคดีซุกหุ้นภาค 1 เมื่อตุลาการบางคนรับเงิน

ข้อนี้ไม่เถียงครับ หลักนิติรัฐมีปัญหาตั้งแต่คดีซุกหุ้น แต่ที่พี่เปี๊ยกไม่พูดถึงก็คือ อ.วรเจตน์เป็นคนหนึ่งที่วิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญอย่างเข้มข้น ในขณะที่แกนนำพันธมิตรหลายคน อย่างสนธิ จำลอง ยังเชียร์ทักษิณอยู่ด้วยซ้ำ แม้แต่พวกพันธมิตรสาย NGO ก็เถอะน่า หลายคนยังเชียร์อัศวินควายดำตามหมอเสมอยู่เลย

สื่อก็ไม่ต่างกัน ตอนนั้นสื่อส่วนใหญ่ก็เชียร์ทักษิณ แต่ตอนนี้สื่อบิดเบือนประวัติศาสตร์ ไม่พูดถึง 5 ปีในยุคทักษิณ ที่ อ.วรเจตน์วิพากษ์วิจารณ์มาตลอด โดย อ.วรเจตน์ยึดหลักนิติรัฐ วิพากษ์วิจารณ์ทุกฝ่าย วิพากษ์วิจารณ์ทักษิณที่พยายามรวบอำนาจ ผูกขาดอำนาจ แต่ก็วิพากษ์วิจารณ์พันธมิตร ม.7 วิพากษ์วิจารณ์รัฐประหารตุลาการภิวัตน์

อ.วรเจตน์ไม่ได้กลับข้างเลย เพราะถ้าเอาบทความ คำแถลง คำให้สัมภาษณ์ในรอบ 10 ปีมาเทียบเคียง จะเห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสองข้างอยู่ในหลักการเดียวกัน

แต่ถ้าเราเอาบทความ ข้อเขียน ของคอลัมนิสต์ทั้งหลาย ในรอบสิบปีมาเทียบเคียง เราจะไม่พบไม้หลักอะไรเลย มีแต่เป๋ไปเป๋มาตามกระแส ตามอารมณ์ เดี๋ยวก็อ้างประชาธิปไตย เดี๋ยวก็เชียร์รัฐประหาร

หนังสือพิมพ์รายวันวางขายตอนเช้า ตกเย็นก็เน่า ถึงไม่ค่อยมีใครไปตามเก็บมาเป็นพยานหลักฐาน นักหนังสือพิมพ์บ้านเราจึงลมเพลมพัด ตวัดลิ้นไปตามใจคนอ่าน

เรื่องที่ผมอ้างพี่เปี๊ยกไม่ใช่อะไรหรอก แค่นึกได้ว่ากาลครั้งหนึ่งผมเคยสัมภาษณ์แก แล้วพี่เปี๊ยกบอกว่า อยากเห็นทักษิณขึ้นศาลเพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง เป็นการสถาปนาหลักนิติรัฐในสังคมไทย ว่าเราสามารถเอาผู้นำสูงสุดมาดำเนินคดีได้ เหมือนอย่างเกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ หรืออินโดนีเซีย

แต่เมื่อผมได้ฟังคำแถลงนิติราษฎร์ ผมก็อยากแย้งว่า มันไม่ดีกว่าหรือถ้าเราจะเอาผู้ทำรัฐประหารมาขึ้นศาลดำเนินคดีสักครั้ง จากที่ไม่เคยมีผู้ทำรัฐประหารถูกดำเนินคดีเลย ไม่ว่าจะมือเปื้อนเลือดหรือไม่เปื้อนเลือด 79 ปีของประชาธิปไตยไทย มีรัฐประหารนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีใครขึ้นศาล

เกาหลีใต้ก่อนลงโทษประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง ที่คอรัปชั่นฉ้อฉล เขาสถาปนานิติรัฐด้วยการลงโทษชุนดูฮวานกับโรห์แตวู ผู้ยึดอำนาจแล้วใช้กำลังทหารปราบปรามประชาชนที่เมืองกวางจู เป็น 2 รายแรกนะครับ ลงโทษหลังจากเหตุการณ์ผ่านไป 16 ปี โดยสั่งประหารชีวิตชุนดูฮวาน จำคุกโรห์แตวู 22 ปี พร้อมจำคุกนายพลอีก 13 คน

นั่นแหละคือการสถาปนานิติรัฐของเกาหลีใต้ ถึงแม้ภายหลังคำพิพากษา มีการนิรโทษกรรมเพื่อ “ปรองดอง” ก็ตาม

พี่เปี๊ยกอยากเห็นผู้นำจากการเลือกตั้งที่ได้รับความนิยมและมีอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมือง ถูกเอาผิดดำเนินคดี พี่เปี๊ยกได้เห็นแล้ว ท่ามกลางความแตกแยกอย่างรุนแรงของสังคม และส่งผลให้เกิดวิกฤตศรัทธาต่อสถาบันตุลาการ

ผมอยากเห็นผู้นำรัฐประหารถูกเอาผิดดำเนินคดีมั่ง ผมยังไม่เห็น ทั้งที่ผมไม่ได้ต้องการให้เอาบิ๊กบังหรือใครที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังไปยิงเป้า ขอแค่ขึ้นศาล ตัดสินความผิด แล้วนิรโทษกรรม ผมก็พอใจ

เพราะสิ่งที่เราต้องการคือการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ไม่ให้มีใครทำรัฐประหารอีกต่อไป ไม่ให้คนที่ฉีกกฎหมายสูงสุดของประเทศลอยนวล ครั้งแรกอาจถือเป็นเยี่ยงอย่าง ตัดสินว่าผิดแล้วนิรโทษกรรมได้ แต่ครั้งต่อไป ทหารหน้าไหนคิดทำรัฐประหาร อย่าหวังลอยนวลนะเมริง

                                                                                    ใบตองแห้ง

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เดี่ยว 8 การเมือง

สุนทรพจน์"การศึกษาตามทัศนะของอิสลาม"

มือสะอาดชาติไม่ล่ม

กอดครั้งสุดท้าย "ศักดา คำพิมูล"